พระพุทธศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี มีคุณธรรม นำไปสู่ความสงบ ตามหลักคำสอนของพระองค์ที่ทรงเดินแล้ว บอกชาวพุทธให้เดินตาม สอนให้คนหมดทุกข์ได้ ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย คือนิพพาน ทั้งปัจจุบัน และอนาคต พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาที่บังคับให้ใคร ๆ เชื่อในคำสอน ไม่ได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะศรัทธาหรือไม่แต่อย่างใด แต่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา เป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุและผล และสิ่งที่พระพุทธองค์แสดงนั้นเป็นเพราะทรงเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น และคำสอนที่แสดงนั้นก็ไม่ได้ให้ผู้ฟังเชื่อตาม แต่ทรงให้พิจารณาไตร่ตรองและให้พิสูจน์ว่าสิ่งที่พระองค์แสดงนั้นจริงเท็จอย่างไรด้วยตัวของผู้นั้นเอง ดังที่ได้แสดงแก่ชนทั้งหลายในการที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ที่บ้านกาลาม ในกาลามสูตรว่า “ควรแล้วท่านจะสงสัย ความสงสัยของท่านเกิดขึ้นแล้วในเหตุควรสงสัยจริง ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินอย่างนี้ ๆ อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่า ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยความนับถือว่า สมณะผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศลธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น” จาก พระสูตรและอรรถกถาแปล เล่ม ๓๔ หน้า ๓๓๘.

ประสบการณ์ คือบทเรียนที่ดีต่อการเรียนรู้ ศึกษาพัฒนาของชีวิตประจำวันของชาวพุทธ

ยากอะไรไม่เท่ากับปฎิสังขรณ์ ถอนอะไรไม่เท่ากับถอนมาณะ ละอะไรไม่เท่ากับละกามคุณ บุญอะไรไม่เท่ากับบรรพชา หาอะไรไม่เท่ากับหาตน จนอะไรก็ไม่เท่ากับจนปัญญา.
“พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักการที่เรียกกันว่า " หัวใจพระพุทธศาสนา " เป็นคำไทยที่เราพูดกันง่าย ๆ ถ้าพูดเป็นภาษาบาลีคือ " โอวาทปาฎิโมกข์ "หลักที่ถือว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา คือคำไทยที่สรุปพุทธพจน์ง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า" เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ " ภาษาพระ หรือ ภาษาบาลีว่า "สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ" ที่มา พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

ริสเดวิดส์บุรุษอาชาไนยชาวพุทธแห่งตะวันตก

                     ใน อดีตกาล ตามทัศนคติของปราชญ์ตะวันตกทั้งหลาย พระพุทธศาสนาเป็นเพียงขอบเขต การวิจัยทางวิชาการเท่านั้น แต่สำหรับ ริส เดวิดส์ นั้น พระพุทธศาสนาแผ่อาณาเขตเลยเนื้อหาการวิจัยทางวิชาการ ไปสู่ศาสนาที่กำลังมีชีวิต และวิถีชีวิตที่มีความหมาย เขาประกาศก้องว่า "… จะเป็นชาวพุทธ หรือมิใช่ชาวพุทธ เป็นเรื่องไม่ต้องมาวิจารณ์กัน ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบระบบศาสนาใหญ่ทุกศาสนาของโลกแล้ว ศาสนาเหล่านั้นทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ค้นพบว่า ไม่มีคำสอนศาสนาใดที่วิเศษในเรื่องความงามและความกว้างขวางเกินกว่าอัฏฐัง คิกมรรคของพระพุทธเจ้าแม้สักศาสนาเดียว ข้าพเจ้าพึงพอใจสร้างชีวิตของข้าพเจ้าตามอัฏฐังคิกมรรคนี้…"
                      ข้อ ทดสอบขั้นต่อไปข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ พิสูจน์ได้จากข้อเขียนของปราชญ์ตะวันตกทั้งหลายผู้รอบรู้พระพุทธศาานา ได้เขียนเป็นอนุสรณ์แก่ริส เดวิดส์ ไว้ในวารสารของสมาคมบาลีปกรณ์ กรุงลอนดอน ค.ศ. ๑๙๒๓ (พ.ศ. ๒๔๖๖) ว่า "…จิตวิญญาณการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในปฐมโพธิกาล แสดงกัมมันตภาพในตัวของริส เดวิดส์ เขาได้เห็นพลังศีลธรรมอันสูงส่ง อยู่ในคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา เขาได้บำเพ็ญตนเองด้วยความกระตือรือร้นต่อความนับถืออันจรรโลงใจ สำหรับความจริงใจอย่างลึกซึ้งต่อคำสั่งสอนและความรักสัจธรรม การทำงานอันมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยของเขา เพื่อความรอบรู้ในพระพุทธศาสนาได้หยั่งรู้รากลึกลงไปในความเคารพนับถืออัน จรรโลงใจ สำหรับความจริงใจอย่างลึกซึ้งต่อคำสั่งสอนและความรักสัจธรรม การทำงานอันมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยของเขา เพื่อความรอบรั้ในพระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลคกงไปในความเคารถนับถือที่แน่ว แน่แห่งธรรมชาติของตัวเขา ริส เดวิดส์ ได้ต่อสู้ ทำงานของสมาคมบาลีปกรณ์ ซึ่งเขาเป็นผู้ให้กำเนิดด้วยความแน่วแน่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
                    ธอมัส วิลเลียม ริส เดวิดส์ เกิดวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๔๓ (พ.ศ. ๒๓๘๖)โคลเชสเตอร์ เป็นบุตรชายของนักบวช นิกายคองกริเกชั่น ผู้มีชื่อเสียง คือ ที. ดับเบิลยู. เดวิดส์ ผู้มีทายสมบัติ (Gift) ความกระตือรือร้นที่อดทน และวุฒิปัญญา ส่องทะลุในรายละเอียดถี่ยิบ คุณสมบัติ ๒ ประการนี้ เป็นอัตลักษณ์เด่นโดดของบุตรชายของเขา เมื่อจบการศึกษาในไบรจ์ตัน ริส เดวิดส์ ปฏิเสธบิดาที่จะศึกษาวิชากฏหมาย เพื่อการประกอบอาชีพทนายความ เขาได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งเปรสโล ในประเทศเยอรมนี ศึกษาวิชาภาษาสันสกฤต กับอาจารย์สเตนซ์เลอร์ ได้รับปริญญาเอก ค.ศ. ๑๘๖๔ (พ.ศ. ๒๔๐๗) เข้าทำงานข้าราชการพลเรือนในประเทศศรีลังกา ได้ศึกษาภาษาสิงหล และภาษาทมิฬจนรอบรู้ใน ๒ ภาษานี้
                 อุบัติการณ์ที่จูงใจให้เขามุมานะ ศึกษาพระพุทธศาสนาในลัทธิเถรวาท เมื่อเขาทำหน้าที่เป็นตุลาการในประเทศศรีลังกาใน ฐานะของผู้พิพากษา เขาต้องแปลกใจ เกี่ยวกับการตัดสินคดีความว่าด้วยวัดในพระพุทธศาสนาในศรีลังกาและกฏหมายคณะ สงฆ์ของศรีลังกา ตรงหน้าของเขาเต็มไปด้วยคัมภีร์ภาษาบาลี โดยเฉพาะคัมภีร์วินัยปิฎก และไม่มีใครในศาลแม้กระทั่งตัว ของริส เดวิดส์เอง ที่อ่านรู้เรื่อง แม้แต่คนเดียว นางสาว ไอ.บี.ฮอร์เนอร์ ปราชญ์ชาวพุทธตะวันตก และเป็นปราชญ์ภาษาบาลี ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมบาลีปกรณ์ คนที่ ๕ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า "… เอกสารที่ปรากฏต่อหน้าของริส เดวิดส์ เป็นเอกสารที่คัดลอกมาจากคัมภีร์วินัยปิฎก จุดนี้เอง ความสนใจใจจริงจังได้เกิดแก่ริส เดวิดส์ เขาตัดสินใจที่จะมีความรอบรู้ภาษาที่เขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน"
                 เขา ตัดสินใจเข้าหาพระภิกษุ ยัตระมูลเล อุนนาเส มหาเถระ พระนักปราชญ์ภาษาบาลีชาวศรีลังกา เพื่อศึกษาภาษาบาลี พระยัตระมูลเล ได้กล่าวถึงบุคลิกภาพของ ริส เดวิดส์ ไว้ว่า "…แรกเมื่อเขาพบอาตมา มือแห่งความตายปรากฏที่ร่างของเขา เขากำลังจมดิ่งลงไปหลุมฝังศพ จากผลของโรคภัยที่เจ็บปวดและรักษาไม่หาย อาตมาได้ทราบข่าวเล่าลือความรอบรู้ในฐานปราชญ์ภาษาบาลีของเขา ความป่วยไข้ของเขา ขอบคุณเขาที่จากบ้านมา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อสอนคนแปลกหน้า มีแสงประหลาดในนัยน์ตาลึกของเขา เขามกจะซักถามปัญหาเรื่องพระพุทธศาสนา แทนที่จะซักถามปัญหาเรื่องภาษาบาลี อาตมาพบว่า เขาท่องคาถาในบทกวีนิพนธ์และหลักจริยศาสตร์จากพระสูตร ดีใจที่ไดัฟังเขาพูด ความดึงดูดทางจิต ที่บรรยายออกมาไม่ได้ ความมีจิตใจกว้างอย่างสูง(ของเขา)ครอบงำอาตมาด้วยความเคารพ…"
                "…การ เรียนรู้ภาษาบาลีและพระพุทธศาสนา จากพระภิกษุยัตรมูเล อุนนาเส ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว…" นางสาวไอ.บี.ฮอร์เนอร์กล่าวในตอนท้าย
                 ริส เดวิดส์ ลาออกจากการเป็นข้าราชการพลเรือนประเทศศรีลังกา เมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๒ (พ.ศ. ๒๔๑๕) เพราะความขัดแย้ง ในเรื่องการปฏิบัติงาน เนื่องมาจากเขาเสนอให้รัฐบาลจัดทุ่งหญ้าปศุสัตว์ แก่เกษตรกร แต่เจ้าหน้าที่สูงกว่าเขาไม่เห็นด้วย และรัฐบาลอังกฤษประจำศรีลังกาก็ไม่เห็นด้วย ตามเจ้าหน้าที่ชั้นสูง เขาได้ย้ายกลับมาที่ประเทศอังกฤษ ได้รับตำแหน่ง ทนายความ แต่การปฏิบัติงานของเขาไม่ก้าวหน้านัก เนื่องจากเขาทุ่มเทให้กับงานด้านการศึกษาพระพุทธศาสนาและภาษา บาลี เขาได้ศึกษางานของชิลเดอร์(โรเบิร์ท ชิดเดอร์), เฮอร์มาน โอลเดนเบอร์ก, วิกโก ฟอสบอลล์, ยอร์จ เทอร์เนอร์ และคนอื่นๆ พร้อมกับการค้นคว้าด้วยตัวเอง ด.ร. ริชาร์ด มอร์ริส กล่าวปราศัยในนามประธานสมาคมนิรุกติศาสตร์ ใน พ.ศ. ๒๔๑๘ ว่า นับเป็นตัวอย่างที่ดีงามในความมีอัธยาศัยกว้างขวางและความละเอียดรอบคอบใน งานที่กระทำ…"
                ริส เดวิดส์ ได้ศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาอย่างละเอียด รวมทั้งการค้นคว้าศึกษาภาษาบาลีอย่างไม่หยุดยั้ง ในที่สุด เขาก็มีความเชี่ยวชาญในภาษาบาลี -ภาษาที่เป็นกุญแจไขเข้าสู่ความเข้าในในพระพุทธธรรมฝ่ายเถรวาท แม้เขาจะได้รับทุกขเวทนาจากไข้มาเลเรียอย่างร้ายแรง จากป่าของศรีลังกา เขาก็ไม่ย่อท้อต่อการศึกษา เขาได้รวบรวมเกี่ยวกับ คัมภีร์ทีปวงศ์ มหาพงศาวดารประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของศรีลังกา รองจากมหาวงศ์ จากศรีลังกามาด้วย เมื่อคราว จากประเทศศรีลังกามา ซึ่งเฮอร์มาน โอลเดนเบอร์ก ปราชญ์ชาวพุทธชาวเยอรมัน เมื่อคราวทำงาน ในสำนักงานกิจการอินเดีย ที่กรุงลอนดอน ได้มาหารือกับ ริส เดวิดส์เรื่องการจัดทำคัมภีร์ทีปวงศ์ และเขาก็ได้รับสรรพตำรามากมายเกี่ยวกับคัมภีร์ ทีปวงศ์ จากริส เดวิดส์โอลเดนเบอร์กรู้สึกทึ่งในความมีใจกว้างของเขา
               หนังสือ The Ancient Cions and Measures of Ceylon เป็นหนังสือเล่มแรกของริส เดวิดส์ พิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. ๒๔๒๐ ปีต่อมา "สมาคมส่งเสริมความรู้ศาสนาคริสเตียน" (?) ได้จัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือ Manual of Buddhism ของริส เดวิดส์ โดยได้จัดพิมพ์ในชุด "หนังสือที่ไม่ใช่ศาสนาคริสเตียน" ของสมาคม หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งที่ ๒,๓ พิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. ๒๔๕๗ ริส เดวิดส์ เขียนอธิบายคำว่า พระนิพพานไว้ว่า "…คำว่า "พระนิพพาน" มิได้หมายความว่า "การทำลายหลังความตาย"(Annihilation) ดังเช่นที่มักมีคนเข้าใจกันผิดๆ แต่หมายถึง "ภาวะทางศีลธรรมและภาวะทางจิตภาพที่บุคคลสามารถบรรลุได้ในปัจจุบันชาตินี้…" อีก ๒ เดือนต่อมา ด.ร.แฟรงเฟอร์เตอร์ ได้พิมพ์เผยแพร่เอกสารที่คัดลอกมาจากคัมภีร์สังยุตตนิกาย ซึ่งอธิบายคำว่า "พระนิพพาน" ว่า ได้แก่ "การดับกองไฟ ๓ กอง คือ ไฟโลภะ โทสะ โมหะ" ข้อความที่ ด.ร.แฟรงเฟอร์เตอร์ ได้คัดลอกมานี้ เป็นเครื่องยืนยันการอธิบายคำว่า "พระนิพพาน" ของริส เดวิดส์ ว่าเป็นการอธิบายที่ถุกต้อง ข้อนี้เป็นผลส่งให้ริส เดวิดส์ มีชื่อเสียงฟุ้งขจร ทำให้เขามีโอกาสได้สัมพันธ์กับปวงปราชญ์มากยิ่งขึ้น เท่ากับเปิดประตูทองให้เขาได้มีโอกาสทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้นๆ
                      ปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ริด เดวิดส์ แปลคัมภีร์ชาดกนิทานกถาเป็นภาษาอังกฤษพรอ้มกับเขียนคำนำ "เรื่องประวัติศาสตร์วรรณ กรรมเรื่องอดีตชาติ" หนังสือนี้เขาตั้งชื่อว่า "Buddhist Birth Story" "…หนังสือนี้เล่มนี้กล่าวได้ว่า เป็นปฐมบทการแปลคัมภีร์ชาดกของฟอสบอลล์ในกาลต่อมา ซึ่งศาสตราจารย์ อี.บี. โคเวลล์ เป็นบรรณาธิการในการพิมพ์ รวมเป็นหนังสือ ๖ เล่ม…" นางสาวไอ.บี.ฮอร์เนอร์ เขียนอธิบาย
                       ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เขา(ริส เดวิดส์) แปล "พระสูตรของพระพุทธศาสนา" เป็นภาษาอังกฤษ มอบให้ศาสตราจารย แมกซ์ มึลเลอร์ นำไปจัดพิมพ์เผยแพร่ ในชุด Sacred Books of the Buddhist Series ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๒-๒๔๒๘ ริส เดวิดส์ กับ เฮอร์มาน โอลเดนเบอร์ก ช่วยกันแปลคัมภีร์พระวินัยปิฎก ได้ ๓ เล่ม เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งได้จัดพิมพ์เผยแพร่ในชุด Sacred Books of the Buddhist Series เช่นกัน ผลงานต่อมาของริส เดวิดส์ คือ การแปลคัมภีร์มิลินทปัญหา ซึ่งนางสาว ไอ.บี. ฮอร์เนอร์ได้กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ว่า "…บทนำ ๒ บท มีคุณค่ามหาศาลอ่านแล้วได้กำไรชีวิตแม้ในยุคปัจจุบัน…"
                      ริส เดวิดส์ กล่าว่า มิลินทปัญหา เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นทางอินเดียภาคเหนือ ราวแรกตั้งคริสต์ศักราช (ประมาณ พ.ศ. ๕๔๓) ในเวลาที่พระพุทธศาสนายังไม่เกิดแตกแยกเป็นนิกายมหายาน ข้างใายเหนือ และนิกายเถรวาทข้างฝ่ายใต้ และว่า มิลินทปัญหานี้ เดิมคงแต่งขึ้นในภาษาสันสกฤต หรือภาษาปรากฤตเช่นเดียวกับคัมภีร์อื่นๆ ที่รจนาขึ้นในอินดียภาคเหนือ แต่ฉบับเดิมสาบสูญไปเสียแล้ว ฉบับที่สืบมาจนบัดนี้นั้น เป็นฉบับที่ชาวลังกาได้แปลเป็นภาษาบาลีไว้
                      ภาย หลังจากการศึกษา และสร้างงานด้านคัมภีร์บาลีมากหลายแล้ว ริส เดวิดส์ ได้สร้างผลงานที่นับว่ามีคุณูปการมาก ต่อการศึกษาภาษาบาลี และพระพุทธศาสนาในประเทสอังกฤษ เขาได้ร่วมกับปราชญ์ชาวพุทธหลายคน ได้จัดตั้ง "สมาคมบาลีปกรณ์" (ประวัติความเป็นมาของสมาคมบาลีปกรณ์โดยละเอียด จะได้กล่าวถึงในภายหลัง) ขึ้น ในปี ค.ศ. ๑๘๘๑ (พ.ศ.๒๔๒๔) เขาได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการจัดตั้งว่า "…เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่นักศึกษาทั้งหลาย ได้เข้าถึงคลังมหาสมบัติแห่งคัมภีร์วรรณกรรมของพระพุทธศาสนายุคปฐมโพธิกาล ซึ่งปัจจุบันยังมิได้จัดพิมพ์ และยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะยังคงจารึกไว้ในคัมภีร์ทั้งหลาย ที่กระจัดกระจายเก็บไว้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ และห้องสมุดสาธารณชนในทวีปยุโรป…" ด.ร.ริชาร์ด มอร์ริส กล่าวไว้ว่า "…มีปราชญ์ภาษาบาลีมากหลายในประเทศนี้ แต่ ริส เดวิดส์ เท่านั้นที่สร้างองค์กรการศึกษาภาษาบาลีขึ้นในตะวันตก ปูทางให้พระพุทธศาสนากลายเป็น "คำพูดประจำ ครอบครัว" (หมายถึง ให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่คนยุโรปยอมรับนับถือ โดยปูทางเรื่องความเข้าใจทางด้านภาษาไปก่อน) แสดงคุณค่าของพระพุทธศาสนาให้เป็นภาษาแห่งความรู้ประเภทพิเศษ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางจิตภาพหรือทางศาสนาต่อมนุษย์ชาติ…" คณะกรรมการชุดแรกของสมาคมบาลีปกรณ์ ได้แก่
                   (๑) วิกโก ฟอสบอลล์
                   (๒) เฮอร์มาน โอลเดนเบอร์ก
                   (๓) เอมีล เซนาร์ท
                   (๔) ริชาร์ด มอร์ริส
                  (๕) ริส เดวิดส์
                  ใน ช่วงแรก งานของการแปลคัมภีร์ ของสมาคมบาลีปกรณ์ เป็นของ ริส เดวิดส์ เกือบทั้งหมด ภายหลังเขาได้แต่งงาน กับนางคาโรไลน์ ออกุสตา ฟอเรย์ ซึ่งต่อมาเป็น นางคาโรไลน์ ริส เดวิดส์ ได้เป็นกำลังสำคัญให้กับเขา และนางคาโรไลน์ ก็สามารถสืบทอดความเป็นปราชญ์ จากสามีของเธออย่างเต็มที่ และช่วยงานของเขาอย่างเต็มความสามารถ
                   คัมภีร์พระพุทธศาสนาภาษาบาลี ๒ เล่มแรก ได้รับการจัดพิมพ์ขึ้น โดยทุนพระราชทานของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว จากประเทศไทย ที่สมาคมบาลีกรณ์ได้จัดพิมพ์ในชุด Sacred Books of the Buddhist Series และและเล่มที่ ๓ และ เล่มที่ ๔ ก็ได้จัดพิมพ์ในทุนพระราชทานของพระมงกุฏเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เช่นเดียวกัน แม้การจัดพิมพ์พจนานุกรม บาลี-อังกฤษ(Pali-English Dictionary) ก็ได้จัดพิมพ์ในทุนพระราชทานของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว โดยได้ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ส่งไปถึงสมาคมบาลีปกรณ์ ในการจัดพิมพ์ถึง ๕๐๐ ปอนด์
                   หลังจากนั้น ริส เดวิดส์ ก็ได้ทำงานด้านการแปลคัมภีร์ภาษาบาลีและพระพุทธศาสนาอีกมาก เช่น การแปลและจัดพิมพ์คัมภีร์ทีฆนิกาย (Dialogue of the Buddha) ในหนังสือชุด Sacred Books of the Buddhist Series จนกระทั่ง หลังจากการทำงานอย่างหนัก ในการศึกษาพระพุทธศาสนาและภาษาบาลี แะการจัดพิมพ์คัมภีร์ภาษาบาลีในยุคแรกๆ มากมาย ริส เดวิดส์ ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน, M.A., Ph.D.,D.,Sc.,D.litt และ LL.D. สมาชิกสมาคมวิชาการมากหลาย และเป็นบุรุษอาชาไนย แห่งโลกพระพุทธศาสนาตะวันตก ถึงแก่กรรมอย่างสงบ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๕



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...