พระอริยะบุคคล ก็คือบุคคลที่บรรลุธรรมตั้งแต่ชั้น โสดาบันเป็นต้นไป ผู้บรรลุธรรมขึ้นโสดาบันเป็นต้นไป จะสามารถขจัดอาสวะได้เป็นบางอย่าง ที่ว่าขจัดอาสวะได้เป็นบางอย่าง ก็เพราะบรรดา ความโลภ ความโกรธ ความหลง มิได้มีเพียงชนิดเดียวหรืออย่างเดียว มีนับเป็น ล้านอย่าง และในขณะที่ผู้บรรลุโสดาบันเป็นต้นไปกำลังขจัดอาสวะ ก็จะปรากฎฉัพพรรณรังสี หรือแสงหรือคลื่นแสง หรือคลื่นแห่งอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้เป็นเวลากลางวันก็ตามที
พระอริยบุคคล หมายถึง บุคคลผู้ประเสริฐ ทางพุทธศาสนาถือว่าความเป็นพระอริยบุคคลนั้น กำหนดได้ด้วยการละสังโยชน์ (กิเลสที่ผูกมัดสัตว์) ไว้ในภพใครละได้น้อยก็เป็นอริยบุคคลชั้นต่ำ เมื่อละได้มากก็เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้นใครละได้หมดก็เป็นพระอรหันต์ สังโยชน์มี ๑๐ อย่าง เทียบตามส่วนที่พระอริยบุคคลละได้เป็นลำดับดังนี้
๑. พระโสดาบัน ละสิ่งดังต่อไปนี้
๑) สักกายทิฏฐิ - ความเห็นว่าร่างกายเป็นของตน
๒) วิจิกิจฉา - ความสงสัยว่าพระวัตนตรัยดีจริงหรือ
๓) ศีลพตปรามาส – การเชื่อพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วจะบรรลุนิพพาน คือพระอรหันต์
๒. พระสกทาคามี ละขั้นพระโสดาบัน แต่จิตคลายจากราคะ โทสะและโมหะมากขึ้น เมื่อบรรลุเป็นพระสกทาคามี จะเกิดอีกครั้งเดียว
๓. พระอนาคามี ละขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และรวมอีก ๒ คือ
๔) กามราคะ - ความติดใจในกามารมณ์
๕) ปฏิฆะ – ความขัดเคืองใจ เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามี จะเลิกครองเรือน ประพฤติพรหมจรรย์ ตายแล้วจะไปเกิดในพรหมโลก
๔. พระอรหันต์ ละขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคา พระอนาคามี และรวมอีก ๕ คือ
๖) รูปราคะ - ความติดใจในรูป เช่นชอบของสวยงาม
๗) อรูปราคะ - ติดใจในของไม่มีรูป เช่นความสรรเสริญ
๘) มานะ - ความยึดถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นติดในสมณศักดิ์
๙) อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ไม่สงบใจ
๑๐) อวิชชา – ความไม่รู้อริยสัจสี่ เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ หากสิ้นชีวิตแล้วจะไม่เกิดอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น